ถ้าให้พูดถึงชายที่เป็นนักแสดงหนุ่มที่มีความสามารถมากมายอย่างแชดวิก โบสแมน เราก็คงจะคิดถึงเขาเป็นอย่างมาก เพราะว่าในตอนนี้ตัวของเขานั้นได้ล่วงลับไปเสียแล้ว แต่ก็ยังคงมีใครหลายคนที่ยังคงคิดถึงการได้ดูหนังที่มีตัวของเขานั้นได้แสดงอยู่ ในวันนี้เราจึงอยากจะมาพาคุณไปลองดูหนังที่เป็นผลงานส่งท้ายหรือว่าเป็นผลงานหนังชิ้นสุดท้ายของตัวของเขา
Ma Rainey’s Black Bottom หนังแนวดราม่าที่คลุกเคล้าบรรยากาศไปด้วยเสียงเพลง โดยก่อนที่จะมาเป็นหนังเรื่องนี้นั้นหนังเรื่องนี้ได้เคยอยู่บนละครเวทีมาก่อน โดยได้ถ่ายทอดความรู้สึกอันคมชัดออกมาให้เรานั้นได้เห็นมาแล้วอย่างยาวนาน แต่ว่าในรอบนี้เราจะได้ดูหนังที่มาพร้อมกับเนื้อหาที่มีความเข้มข้น โดยจะมีการสะท้อน และการเสียดสีสังคมของยุคสมัยนั้นแบบไม่ยั้ง
Ma Rainey’s Black Bottom ได้มีต้นฉบับเป็นบทของละครเวทีที่เคยได้รับรางวัล โดยมีผู้แต่งที่มีชื่อว่าออกัส วิลสัน โดยจะมีเรื่องราวภายในหนังนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ภายในช่วงปี 1927 ในนครชิคาโก โดยจะนำพาเรานั้นไปยังห้องอัดเสียงที่หนึ่ง ซึ่งในขณะนี้นั้นมีอากาศที่อบอ้าวเป็นอย่างมาก อาจจะเป็นเพราะว่าอยู่ในช่วงฤดูร้อน เราจะได้พบกับ มา เรนนีย์ ผู้ที่เป็นนักร้องชาวผิวสีคนหนึ่งที่ได้รับฉายาว่าแม่ของเพลงบูลส์ ได้ทุกนัดมาทำการอัดเสียงในห้องอัดเสียงแห่งนี้ โดยมาพร้อมๆกับสมาชิกวงดนตรีของเธอ แต่การที่พวกเธอนั้นได้มาทำงานร่วมกับผู้จัดการชาวผิวขาวคนนี้ มันทำให้การทำงานของพวกเธอนั้นเป็นอะไรที่ไม่สามารถคาดเดาได้ และแทบจะไม่มีความราบรื่นในการทำงานเลย เหมือนกับว่าพวกเธอนั้นได้เจอกับอุปสรรคก้อนโตกันเสียแล้ว
ด้วยความที่หนังเรื่องนี้ได้ผู้กำกับอย่างจอร์จ ซี. วูล์ฟ แม้ว่าเขานั้นจะมาในบทบาทของผู้กำกับหรือนักแสดงผู้คนทั้งฮอลลีวูดก็ต่างยอมรับในตัวของเขา และการมาทำการเล่าเรื่องของเขากับภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น เขาได้สามารถทำการปรับเปลี่ยนบรรยากาศของหนังให้มีความรู้สึกถึงละครเวทีที่เป็นต้นฉบับอย่างเบาบาง แต่เรานั้นจะได้เห็นถึงการพูดคุยและบทสนทนาระหว่างตัวละครแบบไม่ยั้ง บอกได้เลยว่าเรื่องราวที่คนนั้นจะได้ผ่านจากบทสนทนานั้นเป็นอะไรที่กินแจ้งสุดๆ และถ้าใครที่ไม่ค่อยชอบหนังที่มีบทพูดยาวๆแบบนี้เราอยากให้ลองเปิดใจดูมันอาจจะไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด
จากการที่ได้ดูหนัง Ma Rainey’s Black Bottom เราจะสรุปได้ว่าหนังเรื่องนี้นั้นเป็นหนังที่สามารถถ่ายทอดประเด็นต่างๆออกมาได้อย่างมีความโดดเด่น โดยหนังนั้นสามารถแสดงปัญหาของความเหลื่อมล้ำระหว่างมนุษย์ออกมาได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าเรื่องราวภายในหนังเรื่องนี้นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนก็ตามแต่ในยุคปัจจุบันก็ยังคงสามารถอินตามเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้ได้ และยิ่งองค์ประกอบของหนังที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์แบบแบบนี้จึงเป็นอะไรที่ไม่ควรพลาดเลย